ยกระดับสหกรณ์โคนมครบวงจรทั่วประเทศ

“ประภัตร” ตะลุยตรวจน้ำภาคเหนือ ย้ำยกระดับสหกรณ์โคนมครบวงจรทั่วประเทศ ดันศูนย์ข้าวฯ ทุกพื้นที่เพิ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ดีให้เกษตรกรเข้าถึง หนุนขายข้าวบุกตลาดออนไลน์ แก้ความยากจนชาวนาทั่วประเทศหลายล้านคนได้สำเร็จ

เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการจ.เชียงรายและ จ.เชียงใหม่ ไปยังเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด เพื่อรับฟังการรายงานสถานการณ์น้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา และการวางแผนการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2562 และดูงานสหกรณ์โคนมการเกษตรไชยปราการว่า สหกรณ์แห่งนี้มีความเข้มแข็ง มีการดำเนินงานและบริหารงานแบบครบวงจร ที่มีทั้งธุรกิจรวบรวมผลผลิต เงินฝาก สินเชื่อ จัดหาผลผลิตมาจำหน่าย แปรรูปอาหารสัตว์ การพัฒนาอาหารหยาบคุณภาพดี (feed center) เพื่อแก้ปัญหาการจัดการอาหารสำหรับโคนม เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำนมดิบ และองค์ประกอบของน้ำนมดิบ ให้มีคุณภาพดี มีความสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และยังมีโครงการธนาคารโคนมทดแทนฝูง เพื่อลดภาระการเลี้ยงลูกโคของเกษตรกร นอกจากนี้ยังเป็นสหกรณ์ที่มีคุณภาพน้ำนมดิบคุณภาพสูง และได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรสำหรับฟาร์มโคนม (GAP) ครบ 100 % รวมทั้งสิ้น 226 ฟาร์ม มีโคนมทั้งหมด 14,789 ตัว ปริมาณน้ำนมดิบ 84.134 ตันต่อวัน เป็นสหกรณ์ที่มีปริมาณน้ำนมดิบมากที่สุดในภาคเหนือ จะเป็นต้นแบบในการดำเนินงานของสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ กำหนดเป็นแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ของชาติ เพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี ในปี 2568 ซึ่งจะทำให้มีผลิตภัณฑ์นมผงจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขัน ตลาดผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทย อาจมีผลกระทบแก่เกษตรกรได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาการผลิตนมโคให้มีคุณภาพสูง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

พร้อมกับตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานของโครงการสถานที่พักพิงสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์ มูลนิธิ ดิอาร์ค (The ARK Foundation) อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ โดยมี นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการติดตามการดำเนินงาน ซึ่งโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสุนัขและสัตว์บาดเจ็บหรือถูกทำร้าย มีเนื้อที่ 5 ไร่ 10 ตารางวา ซึ่งกรมปศุสัตว์ ได้จัดสรรงบประมาณในการออกแบบก่อสร้าง ปัจจุบันมีสุนัขในการดูแลกว่า 400 ตัว โดยมีรายได้จากการบริจาค อีกทั้งได้รับการสนับสนุนด้านสัตว์แพทย์ เวชภัณฑ์ จากกรมปศุสัตว์

ต่อจากนั้นเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ นายประภัตร กล่าวว่ากรมการข้าว มีภารกิจหลักในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกรได้ใช้ข้าวพันธุ์ดีของประเทศ มีพื้นที่ 74 ไร่ เขตรับผิดชอบ ใน 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และลำพูน ซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้ง 3 จังหวัดรวม 709,858 ไร่ ในฤดูฝนและฤดูแล้ง ปี 2561-2562 ผลิตข้าวพันธุ์ สปต1 และ กข-แม่โจ้2 รวม 2,568.475 ตัน หรือร้อยละ 85.62 ตัน (จากเป้าหมาย 3,000 ตัน) นอกจากนี้มียังรับผิดชอบศูนย์ข้าวชุมชนอีก 21 ศูนย์ และศูนย์ข้าวชุมชนของจังหวัดลำพูน 9 ศูนย์ โดยในวันนี้ ได้เน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งเพิ่มศักยภาพการผลิตเมล็ดพันธุ์ทั่วประเทศให้เพิ่มมากขึ้น จากเดิม 85,000 ตัน เพิ่มเป็น 200,000 ตัน เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ในช่วงที่ประสบภัยแล้ง และน้ำท่วม ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวเสียหาย อีกทั้งจะส่งเสริมและพัฒนาระบบการตลาดออนไลน์ ให้เกษตรกรทั่วประเทศสามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีได้สะดวก สบาย ลดต้นทุน เพื่อยกระดับให้เมล็ดพันธุ์ข้าวและเพิ่มมูลค่ายิ่งขึ้นและให้เกษตรกรได้ตระหนักว่าหากจะซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์ดี ให้นึกถึงศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นลำดับแรก

“ศูนย์ข้าวทั่วประเทศ ต้องทำให้ชาวนามีความมั่นใจในเมล็ดพันธุ์ โดยต้องเพิ่มการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่มีในประเทศให้ผลิตได้มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯยินดีสนับสนุนทั้งด้านการจำหน่ายข้าวคุณภาพดีในตลาดออนไลน์ และด้านการผลิต อาทิ เครื่องมืออุปกรณ์ ด้านบุคลากร เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน รวมถึงหากพื้นที่ใดขาดแคลนน้ำก็พร้อมสนับสนุนขุดเจาะบาดาลเพื่อการเกษตร หากทำได้สำเร็จจะช่วยชาวนาหลายล้านคนให้พ้นความยากจนได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”รมช.เกษตรฯ กล่าว
ข้อมูลโดย : https://siamrath.co.th/n/100360
Share

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้แก่ท่านได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงทำให้สามารถมอบข้อเสนอ กิจกรรมส่งเสริมการขาย เลือกเนื้อหาให้เหมาะสมแก่ท่านอย่างเป็นส่วนตัวได้ การเก็บและใช้งานคุกกี้สามารถศึกษาได้ที่นโยบายการใช้คุกกี้นี้ การใช้งานเว็บไซต์นี้จะมีการจัดเก็บคุกกี้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งท่านต้องยอมรับและยินยอมให้บริษัทฯ จัดเก็บ (เรียนรู้เพิ่มเติม)